เมนู

9. สุภสูตร



[709] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ :-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อาราม
ของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี. สมัยนั้น สุภมาณพโตเทยย-
บุตรอาศัยอยู่ในนิเวศน์ของคฤหบดีผู้หนึ่ง ในพระนครสาวัตถี ด้วยกรณียกิจ
บางอย่าง. ครั้งนั้น สุภนาณพโตเทยยบุตร ได้กล่าวกะคฤหบดีที่ตนอาศัยใน
นิเวศน์ของเขานั้นว่า ท่านคฤหบดี ข้าพเจ้าได้สดับมาดังนี้ว่า พระนครสาวัตถี
ไม่ว่างจากพระอรหันต์ทั้งหลายเลย วันนี้เราจะพึงเข้าไปนั่งใกล้สมณะหรือ
พราหมณ์ผู้ไหนหนอ.
คฤหบดีได้กล่าวว่า ท่านผู้เจริญ พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ
พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี
ท่านจงเข้าไปนั่งใกล้พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นเถิด.
[710] ลำดับนั้น สุภมาณพโตเทยยบุตรรับคำคฤหบดีนั้นแล้ว เข้า
ไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ได้ปราศรัยกับพระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้น
ผ่านการปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง แล้วได้
ทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ท่านพระโคดม พราหมณ์ทั้งหลายกล่าวกัน
อย่างนี้ว่า คฤหัสถ์เท่านั้นเป็นผู้ยินดีกุศลธรรมเครื่องนำออกไปจากทุกข์
บรรพชิตไม่เป็นผู้ยินดีกุศลธรรมเครื่องนำออกไปจากทุกข์ ในเรื่องนี้ ท่าน
พระโคดมตรัสว่าอย่างไร.
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า มาณพในเรื่องนี้ เราแยกออกกล่าว เรา
ไม่รวมกล่าว เราพรรณนาการปฏิบัติผิดของคฤหัสถ์หรือของบรรพชิต มาณพ

จริงอยู่ คฤหัสถ์หรือบรรพชิตปฏิบัติผิดแล้ว ย่อมชื่อว่าเป็นผู้ไม่ยินดีกุศลธรรม
เครื่องนำออกไปจากทุกข์ เพราะเหตุแห่งอธิกรณ์คือการปฏิบัติผิด ดูก่อนมาณพ
เราพรรณนาการปฏิบัติชอบของคฤหัสถ์หรือของบรรพชิต จริงอยู่ คฤหัสถ์
หรือบรรพชิตปฏิบัติชอบแล้ว ชื่อว่าเป็นผู้ยินดีกุศลธรรมเครื่องนำออกไปจาก
ทุกข์ เพราะเหตุแห่งอธิกรณ์ คือการปฏิบัติชอบ.
[711] สุ. ท่านพระโคดม พราหมณ์ทั้งหลายกล่าวกันอย่างนี้ว่า
ฐานะแห่งการงานของฆราวาส มีความต้องการมาก มีกิจมาก มีอธิกรณ์มาก
มีการเริ่มมาก ย่อมมีผลมาก (ส่วน) ฐานะแห่งการงานฝ่ายบรรพชา มีความ
ต้องการน้อย มีกิจน้อย มีอธิกรณ์น้อย มีการเริ่มน้อย ย่อมมีผลน้อย ในเรื่อง
นี้ ท่านพระโคดมตรัสว่าอย่างไร.
พ. ดูก่อนมาณพ แม้ในเรื่องนี้ เราก็แยกออกกล่าว เราไม่รวมกล่าว
มาณพ ฐานะแห่งการงานที่มีความต้องการมาก มีกิจมาก มีอธิกรณ์มาก มี
การเริ่มมาก เมื่อวิบัติ มีผลน้อยมีอยู่ ฐานะแห่งการงานที่มีความต้องการมาก
มีกิจมาก มีอธิกรณ์มาก มีการเริ่มมาก เมื่อเป็นสมบัติ มีผลมากมีอยู่ ฐานะ
แห่งการงาน ที่มีความต้องการน้อย มีกิจน้อย มีอธิกรณ์น้อย มีการเริ่มน้อย
เมื่อวิบัติ มีผลน้อยมีอยู่ ฐานะแห่งการงานที่มีความต้องการน้อย มีกิจน้อย
มีอธิกรณ์น้อย มีการเริ่มน้อย เมื่อเป็นสมบัติ มีผลมากมีอยู่.
[712] ดูก่อนมาณพ ฐานะแห่งการงานที่มีความต้องการมาก มี
กิจมาก มีอธิกรณ์มาก มีการเริ่มมาก เมื่อวิบัติ ย่อมมีผลน้อย เป็นไฉน.
ดูก่อนมาณพ ฐานะแห่งการงาน คือ การไถที่มีความต้องการมาก มีกิจมาก
มีอธิกรณ์มาก มีการเริ่มมาก เมื่อวิบัติย่อมมีผลน้อย ส่วนฐานะแห่งการงาน
ที่มีความต้องการมาก มีกิจมาก มีอธิกรณ์มาก มีการเริ่มมาก เมื่อเป็นสมบัติ
ย่อมมีผลมาก เป็นไฉน. ฐานะแห่งการงาน คือ การไถนั่นแล ที่มีความ

ต้องการมาก มีกิจมาก มีอธิกรณ์มาก มีการเริ่มมาก เมื่อเป็นสมบัติ ย่อมมี
ผลมาก อนึ่ง ฐานะแห่งการงานที่มีความต้องการน้อย มีกิจน้อย มีอธิกรณ์
น้อย มีการเริ่มน้อย เมื่อวิบัติ ย่อมมีผลน้อย เป็นไฉน. ฐานะแห่งการงาน
คือ การค้าขาย ที่มีความต้องการน้อย มีกิจน้อย มีอธิกรณ์น้อย มีการ
เริ่มน้อย เมื่อวิบัติ ย่อมมีผลน้อย ส่วนฐานะแห่งการงานที่มีความต้องการน้อย
มีกิจน้อย มีอธิกรณ์น้อย มีการเริ่มน้อย เมื่อเป็นสมบัติ ย่อมมีผลมาก
เป็นไฉน ฐานะแห่งการงาน คือ การค้าขายนั่นแล ที่มีความต้องการน้อย
มีอธิกรณ์น้อย มีกิจน้อย มีความเริ่มน้อย เมื่อเป็นสมบัติย่อมมีผลมาก.
[713] ดูก่อนมาณพ เปรียบเหมือนฐานะคือกสิกรรม ที่มีความ
ต้องการมาก มีกิจมาก มีอธิกรณ์มาก มีความเริ่มมาก เมื่อวิบัติ ย่อมมีผลน้อย
ฉันใด ฐานะแห่งการงานของฆราวาสก็ฉันนั้นเหมือนกัน ที่มีความต้องการมาก
มีกิจมาก มีอธิกรณ์มาก มีการเริ่มมาก เมื่อวิบัติ ย่อมมีผลน้อย ฐานะคือ
กสิกรรมนั่นแล ที่มีความต้องการมาก มีกิจมาก มีอธิกรณ์มาก มีการเริ่มมาก
เมื่อเป็นสมบัติ ย่อมมีผลมาก ฉันใด ฐานะแห่งการงานของฆราวาสก็ฉันนั้น
เหมือนกัน ที่มีความต้องการมาก มีกิจมาก มีอธิกรณ์มาก มีการเริ่มมาก
เมื่อเป็นสมบัติ ย่อมมีผลมาก การงานคือการค้าขาย ที่มีความต้องการน้อย
มีกิจน้อย มีอธิกรณ์น้อย มีการเริ่มน้อย เมื่อวิบัติ ย่อมมีผลน้อย ฉันใด
ฐานะแห่งการงานฝ่ายบรรพชาก็ฉันนั้นเหมือนกัน ที่มีความต้องการน้อย มี
กิจน้อย มีอธิกรณ์น้อย มีการเริ่มน้อย เมื่อวิบัติ ย่อมมีผลน้อย ฐานะแห่ง
การงานคือการค้าขายนั่นแล ที่มีความต้องการน้อย มีกิจน้อย มีอธิกรณ์น้อย
มีการเริ่มน้อย เมื่อเป็นสมบัติ ย่อมมีผลมาก ฉันใด ฐานะแห่งการงานฝ่าย
บรรพชาก็ฉันนั้นเหมือนกัน ที่มีความต้องการน้อย มีกิจน้อย มีอธิกรณ์น้อย
มีการเริ่มน้อย เมื่อเป็นสมบัติ ย่อมมีผลมาก.

[714] สุ. ท่านพระโคดม พราหมณ์ทั้งหลายย่อมบัญญัติธรรม 5
ประการเพื่อทำบุญ เพื่อยินดีกุศล.
พ. ดูก่อนมาณพ พราหมณ์ทั้งหลายย่อมบัญญัติธรรม 5 ประการ
เพื่อทำบุญ เพื่อยินดีกุศลนั้นเหล่าไหน ถ้าท่านไม่หนักใจ เราขอโอกาส
ขอท่านจงกล่าวธรรม 5 ประการนั้นในบริษัทนี้เถิด.
ส. ท่านพระโคดม ณ ที่ที่พระองค์หรือท่านผู้เป็นดังพระองค์ประทับ
นั่งอยู่ ข้าพเจ้าไม่มีความหนักใจเลย.
พ. ถ้าอย่างนั้น เชิญกล่าวเถิดมาณพ.
[715] สุ. ท่านพระโคดม พราหมณ์ทั้งหลายย่อมบัญญัติธรรมข้อ
ที่ 1 คือ สัจจะ เพื่อทำบุญ เพื่อยินดีกุศล ย่อมบัญญัติข้อที่ 2 คือ ตบะ...
ข้อที่ 3 คือ พรหมจรรย์... ข้อที่ 4 คือ การเรียนมนต์... ข้อที่ 5 คือ
การบริจาค เพื่อทำบุญ เพื่อยินดีกุศล พราหมณ์ทั้งหลายย่อมบัญญัติธรรม 5
ประการนี้ เพื่อทำบุญ เพื่อยินดีกุศล ในเรื่องนี้ ท่านพระโคดมตรัสว่าอย่างไร.
[716] ดูก่อนมาณพ ก็บรรดาพราหมณ์ทั้งหลาย แม้พราหมณ์
คนหนึ่งเป็นผู้ใดใครก็ตามที่กล่าวอย่างนี้ว่า เราทำให้แจ้งชัดด้วยปัญญาอันยิ่ง
ด้วยตนเองแล้ว เสวยผลแห่งธรรม 5 ประการนี้ มีอยู่หรือ.
สุ. ข้อนี้หามิได้ ท่านพระโคดม.
พ. ดูก่อนมาณพ ก็แม้อาจารย์คนหนึ่ง แม้อาจารย์ของอาจารย์
คนหนึ่งตลอด 7 ชั่วอาจารย์ของพวกพราหมณ์ เป็นผู้ใดใครก็ตามที่กล่าวอย่าง
นี้ว่า เราทำให้แจ้งชัดด้วยปัญญาอันยิ่งด้วยตนเองแล้ว เสวยผลแห่งธรรม
5 ประการนี้ มีอยู่หรือ.
สุ. ข้อนี้หามิได้ ท่านพระโคดม.

พ. ดูก่อนมาณพ ก็แม้ฤาษีทั้งหลายผู้เป็นบุรพาจารย์ของพวกพราหมณ์
คือ ฤาษีอัฏฐกะ ฤาษีวามกะ ฤาษีวามเทพ ฤาษีวิศวามิตร ฤาษียมตัคคิ
ฤาษีอังคีรสะ ฤาษีภารทวาชะ ฤาษีวาเสฏฐะ ฤาษีกัสสปะ ฤาษีภคุ ซึ่งเป็น
ผู้แต่งมนต์ เป็นผู้บอกมนต์ พราหมณ์ทั้งหลายในปัจจุบันนี้ขับตาม กล่าวตาม
ซึ่งบทมนต์เก่านี้ ที่ท่านขับแล้ว บอกแล้ว รวบรวมไว้แล้ว กล่าวได้ถูกต้อง
บอกได้ถูกต้อง ตามที่ท่านกล่าวไว้ บอกไว้ แม้ท่านเหล่านั้นได้กล่าวแล้ว
อย่างนี้ว่า เราทั้งหลายทำให้แจ้งชัดด้วยปัญญาอันยิ่งด้วยตนเองแล้ว เสวยผล
แห่งธรรม 5 ประการนี้ มีอยู่หรือ.
สุ. ข้อนี้หามิได้ ท่านพระโคดม.
[717] พ. ดูก่อนมาณพ ได้ทราบกันดังนี้ ว่า บรรดาพราหมณ์
ทั้งหลาย ไม่มีพราหมณ์แม้คนหนึ่งจะเป็นผู้ใดใครก็ตามที่ได้กล่าวอย่างนี้ว่า
เราทำให้แจ้งชัดด้วยปัญญาอันยิ่งด้วยตนเองแล้ว เสวยผลแห่งธรรน 5 ประการ
นี้ ไม่มีแม้อาจารย์คนหนึ่ง แม้ปาจารย์ของอาจารย์คนหนึ่ง ตลอด 7 ชั่วอาจารย์
ของพวกพราหมณ์นี้ จะเป็นผู้ใดใครก็ตามทีได้กล่าวอย่างนี้ว่า เราทำให้แจ้งชัด
ด้วยปัญญาอันยิ่งด้วยตนเองแล้ว เสวยผลแห่งธรรม 5 ประการนี้ แม้ฤาษี
ทั้งหลายผู้เป็นบุรพาจารย์ของพวกพราหมณ์ คือ ฤาษีอัฏฐกะ ฤาษีวามกะ
ฤาษีวามเทพ ฤาษีวิศวามิตร ฤาษียมตัคคิ ฤาษีอังคีรสะ ฤาษีภารทวาชะ
ฤาษีวาเสฏฐะ ฤาษีกัสสปะ ฤาษีภคุ เป็นผู้แต่งมนต์ เป็นผู้บอกมนต์ พราหมณ์
ทั้งหลายในปัจจุบันนี้ขับตาม กล่าวตาม ซึ่งบทมนต์เก่านี้ ที่ท่านขับแล้ว
บอกแล้ว รวบรวมไว้แล้ว กล่าวได้ถูกต้อง บอกได้ถูกต้อง ตามที่ท่านกล่าวไว้
บอกไว้ แม้ท่านเหล่านั้นก็ไม่ได้กล่าวอย่างนี้ว่า เราทั้งหลายทำให้แจ้งชัดด้วย
ปัญญาอันยิ่งด้วยตนเองแล้ว เสวยผลแห่งธรรม 5 ประการนี้ ดูก่อนมาณพ
เปรียบเหมือนแถวคนตาบอดซึ่งเกาะกันต่อ ๆ ไป แม้คนต้นก็ไม่เห็น คนกลาง

ก็ไม่เห็น คนหลังก็ไม่เห็น ฉันใด ภาษิตของพราหมณ์ทั้งหลายเห็นจะเปรียบ
ได้กับแถวคนตาบอด ฉันนั้น คือ แม้คนชั้นต้นก็ไม่เห็น แม้คนชั้นกลางก็
ไม่เห็น แม้คนชั้นหลังก็ไม่เห็น.
[718] เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอย่างนี้แล้ว สุภมาณพโตเทยย-
บุตรถูกพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเปรียบด้วยแถวคนตาบอด โกรธ ขัดใจ เมื่อ
จะด่าติเตียนว่ากล่าวพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า พระสมณโคดม จักถึงความลามก
เสียแล้ว ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า พระโคดม พราหมณ์โปกขรสาติ
โอปมัญญโคตร ผู้เป็นใหญ่ในสุภควัน ได้กล่าวอย่างนี้ว่า อย่างนี้นั่นแหละ
ก็สมณพราหมณ์เหล่าไรนี้ ย่อมปฏิญาณญาณทัศนะวิเศษ ของพระอริยะอย่าง
สามารถยิ่งกว่าธรรมของมนุษย์ ภาษิตนี้ของสมณพราหมณ์เหล่านั้น ย่อมถึง
ความเป็นภาษิต นำหัวเราะทีเดียวหรือ ย่อมถึงความเลวทรามทีเดียวหรือ
ย่อมถึงความว่างทีเดียวหรือ ย่อมถึงความเปล่าทีเดียวหรือ ถ้าเช่นนั้น มนุษย์
จักรู้ จักเห็น หรือจักทำให้แจ้งชัดซึ่งญาณทัศนะวิเศษของพระอริยะอย่าง
สามารถยิ่งกว่าธรรมของมนุษย์ได้อย่างไร ข้อนี้ไม่เป็นฐานะที่จะมีได้.
พ. ดูก่อนมาณพ ก็พราหมณ์โปกขรสาติโอปมัญญโคตร ผู้เป็นใหญ่
ในสุภควัน กำหนดรู้ใจของสมณพราหนณ์ทั้งสิ้นด้วยใจของตนหรือ.
สุ. ท่านพระโคดม พราหมณ์โปกขรสาติโอปมัญญโคตร ผู้เป็นใหญ่
ในสุภควัน ย่อมกำหนดรู้ใจของนางปุณณิกาทาสีของตนด้วยใจของตนเอง
เท่านั้น ก็ที่ไหนจักกำหนดรู้ใจของสมณพราหมณ์ทั้งสิ้นด้วยใจของตนได้เล่า
[719] พ. ดูก่อนมาณพ เปรียบเหมือนบุรุษตาบอดแต่กำเนิด เขา
ไม่เห็นรูปดำ รูปขาว ไม่เห็นรูปเขียว รูปเหลือง รูปแดง รูปสีชมพู รูปที่
เสมอและไม่เสมอ หมู่ดาว ดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ เจาพึ่งกล่าวอย่างนี้ว่า
ไม่มีรูปดำ รูปขาว ไม่มีคนเห็นรูปดำรูปขาว ไม่มีรูปเขียว ไม่มีคนเห็น

รูปเขียว ไม่มีรูปเหลือง ไม่มีคนเห็นรูปเหลือง ไม่มีรูปแดง ไม่มีคนเห็น
รูปแดง ไม่มีรูปสีชมพู ไม่มีคนเห็นรูปสีชมพู ไม่มีรูปที่เสมอและไม่เสมอ
ไม่มีคนเห็นรูปที่เสมอและไม่เสมอ ไม่มีหมู่ดาว ไม่มีคนเห็นหมู่ดาว ไม่มี
ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์ ไม่มีคนเห็นดวงจันทร์ดวงอาทิตย์ เราไม่รู้ไม่เห็นสิ่งนั้น
เพราะฉะนั้น สิ่งนั้นย่อมไม่มี เมื่อเขากล่าวดังนี้ ชื่อว่ากล่าวชอบหรือมาณพ.
สุ. ไม่ใช่เช่นนั้น ท่านพระโคดม รูปดำรูปขาวมี คนเห็นรูปดำ
รูปขาวก็มี รูปเขียวมี คนเห็นรูปเขียวก็มี รูปเหลืองมี คนเห็นรูปเหลืองก็มี
รูปแดงมี คนเห็นรูปแดงก็มี รูปสีชมพูมี คนเห็นรูปสีชมพูก็มี รูปที่เสมอ
และไม่เสมอ มีคนเห็นรูปเสมอและไม่เสมอก็มี หมู่ดาวมี คนเห็นหมู่ดาวก็มี
ดวงจันทร์ควงอาทิตย์มี คนเห็นควงจันทร์ควงอาทิตย์ก็มี เราไม่รู้ไม่เห็นสิ่งนี้ น
เพราะฉะนั้น สิ่งนั้นย่อมไม่มี ผู้ที่กล่าวดังนี้ไม่ชื่อว่ากล่าวชอบท่านพระโคดม.
พ. ดูก่อนมาณพ พราหมณ์โปกขรสาติโอปมัญญโคตร ผู้เป็นใหญ่
ในสุภควัน ก็ฉันนั้นเหมือนกันแล เป็นคนตาบอด ไม่มีจักษุ เขาจักรู้จักเห็น
จักทำให้แจ้งชัด ซึ่งญาณทัศนะวิเศษของพระอริยะอย่างสามารถยิ่งกว่าธรรม
ของมนุษย์ได้หรือหนอ ข้อนี้ไม่เป็นฐานะที่จะมีได้.
[720] ดูก่อนมาณพ ท่านจะเข้าใจความข้อนั้นเป็นไฉน พราหมณ์
มหาศาลชาวโกศล คือ จังกีพราหมณ์ ตารุกขพราหมณ์ โปกขรสาติพราหมณ์
ขาณุโสณีพราหมณ์ หรือโตเทยยพราหมณ์ บิดาของท่าน วาจาดีที่พราหมณ์
มหาศาลเหล่านั้นกล่าวตามสมมติ หรือไม่ทามสมมติ เป็นอย่างไหน.
สุ. ตามสมมติ ท่านพระโคดม.
พ. วาจาดีทีพราหมณ์มหาศาลเหล่านั้นพิจารณาแล้วจึงกล่าว หรือไม่
พิจารณาแล้วจึงกล่าว เป็นอย่างไหน.
สุ. พิจารณาแล้ว ท่านพระโคดม.

พ. วาจาดีที่พราหมณ์มหาศาลเหล่านั้นรู้แล้วจึงกล่าว หรือว่าไม่รู้.
แล้วจึงกล่าว เป็นอย่างไหน.
สุ. รู้แล้ว ท่านพระโคดม.
พ. วาจาดีอันประกอบด้วยประโยชน์ หรือไม่ประกอบด้วยประโยชน์
ที่พราหมณ์มหาศาลเหล่านั้นกล่าว เป็นอย่างไหน.
สุ. ประกอบด้วยประโยชน์ ท่านพระโคดม.
[720] พ. ดูก่อนมาณพ ท่านจะเข้าใจความข้อนั้นเป็นไฉน ถ้าเมื่อ
เป็นเช่นนี้ พราหมณ์โปกขรสาติโอปมัญญโคตร ผู้เป็นใหญ่ในสุภควัน กล่าว
วาจาตามสมมติหรือไม่ตามสมมติ.
สุ. ตามสมมติ ท่านพระโคคดม.
พ. เป็นวาจาที่พิจารณาแล้วจึงกล่าว หรือเป็นวาจาที่ไม่ได้พิจารณา
แล้ว.
สุ. เป็นวาจาที่ไม่ได้พิจารณาแล้ว ท่านพระโคดม.
พ. เป็นวาจาที่รู้แล้วจึงกล่าวหรือเป็นวาจาที่ไม่รู้แล้ว.
สุ. เป็นวาจาที่ไม่รู้แล้ว ท่านพระโคดม.
พ. กล่าววาจาที่ประกอบด้วยประโยชน์หรือไม่ประกอบด้วยประโยชน์.
สุ. ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ท่านพระโคดม.
[722] พ. ดูก่อนมาณพ นิวรณ์ 5 ประการนี้ 5 ประการเป็นไฉน
คือ กามฉันทนิวรณ์ พยาบาทนิวรณ์ ถีนมิทธนิวรณ์ อุทธัจจกุกกุจจนิวรณ์
วิจิกิจฉานิวรณ์ นิวรณ์ 5 ประการนี้แล ดูก่อนมาณพ พราหมณ์โปกขรสาติ
โอปมัญญโคตร ผู้เป็นใหญ่ในสุภควัน ถูกนิวรณ์ 5 ประการนี้ร้อยไว้แล้ว
รัดไว้แล้ว ปกคลุมไว้แล้ว หุ้มห่อไว้แล้ว เราจักรู้จักเห็นหรือจักทำให้แจ้งชัด
ซึ่งญาณทัศนะวิเศษของพระอริยะอย่างสามารถ ยิ่งกว่าธรรมของมนุษย์หรือหนอ
ข้อนี้ไม่เป็นฐานะที่จะมีได้.

[723] ดูก่อนมาณพ กามคุณ 5 ประการนี้ 5 ประการเป็นไฉน
คือ รูปอันจะพึงรู้แจ้งด้วยจักษุ ที่น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าชอบใจ น่ารัก
ชักให้ใคร่ ชวนให้กำหนัด เสียงอันจะพึงรู้แจ้งด้วยหู...กลิ่นอันจะพึงรู้แจ้ง
ด้วยจมูก ...รสอันจะพึงรู้แจงด้วยลิ้น...โผฏฐัพพะอันจะพึงรู้แจ้งด้วยกาย ที่น่า
ปรารถนา น่าใคร่ น่าชอบใจ น่ารัก ชักให้ใคร่ ชวนให้กำหนัด กามคุณ
5 ประการนี้แล. ดูก่อนมาณพ พราหมณ์โปกขรสาติโอปมัญญโคตร ผู้เป็นใหญ่
ในสุภควัน กำหนัดแล้ว หมกมุ่นแล้วด้วยกามคุณ 5 ประการนี้ ถูกกามคุณ
5 ประการนี้ครอบงำแล้ว ไม่เห็นโทษ ไม่มีปัญญาเป็นเครื่องถอนออก บริโภค
อยู่ เขาจักรู้จักเห็นหรือจักทำให้แจ้งชัด ซึ่งญาณทัศนะวิเศษของพระอริยะ
อย่างสามารถยิ่งกว่าธรรมของมนุษย์หรือหนอ ข้อนี้ไม่เป็นฐานะที่จะมีได้.
[724] ดูก่อนมาณพ ท่านจะเข้าใจความข้อนั้นเป็นไฉน บุคคลพึง
อาศัยหญ้าและไม้เป็นเชื้อติดไฟขึ้น และพึงติดไฟที่ไม่มีหญ้าและไม้เป็นเชื้อ
ไฟไหนหนอพึงมีเปลว มีสี และมีแสง.
สุ. ท่านพระโคดม ถ้าการติดไฟอันไม่มีหญ้าและไม้เป็นเชื้อ เป็น
ฐานะที่จะมีได้ ไฟนั้นก็จะพึงมีเปลว มีสี และมีแสง.
พ. ดูก่อนมาณพ ข้อที่บุคคลจะพึงติดไฟอันไม่มีหญ้าและไม่เป็นเชื้อ
ขึ้นได้นี้ ไม่ใช่ฐานะ ไม่ใช่โอกาส เว้นจากผู้มีฤทธิ์ ดูก่อนมาณพ เปรียบเหมือน
ไฟอาศัยหญ้าและไม้เป็นเชื้อติดอยู่ ฉันใด เรากล่าวปีติอันอาศัยเบญจกามคุณ
นี้เปรียบฉันนั้น เปรียบเหมือนไฟไม่มีหญ้าและไม้เป็นเชื้อติดอยู่ได้ ฉันใด
เรากล่าวปีติที่เว้นจากกาม เว้นจากอกุศลธรรมเปรียบฉันนั้น. ก็ปีติที่เว้นจาก
กามเว้นจากอกุศลธรรมเป็นไฉน ภิกษุในธรรมวินัยนี้ สงัดจากกาม สงัดจาก
อกุสลธรรม เข้าถึงปฐมฌาน มีวิตกวิจาร มีปีติและสุขเกิดแต่วิเวกอยู่ ปีติ
นี้แล เว้นจากกาม เว้นจากอกุศลธรรม ดูกรมาณพ อีกประการหนึ่ง ภิกษุ

เข้าถึงทุติยฌาน มีความผ่องใสแห่งจิตในภายในเป็นธรรมเอกผุดขึ้น ไม่มีวิตก
ไม่มีวิจาร เพราะวิตกวิจารสงบไป มีปีติและสุขเกิดแต่สมาธิอยู่ แม้ปีตินี้ก็
เว้นจากกาม เว้นจากอกุศลธรรม.
[725] ดูก่อนมาณพ ในธรรม 5 ประการที่พราหมณ์ทั้งหลายบัญญัติ
เพื่อทำบุญเพื่อยินดีกุศลนี้ พราหมณ์ทั้งหลายบัญญัติธรรมข้อไหน เพื่อทำบุญ
เพื่อยินดีกุศล ว่ามีผลมากกว่า.
สุ. ท่านพระโคดม ในธรรม 5 ประการที่พราหมณ์ทั้งหลายบัญญัติ
เพื่อทำบุญเพื่อยินดีกุศลนี้ พราหมณ์ทั้งหลายย่อมบัญญัติธรรม คือ จาคะ
เพื่อทำบุญ เพื่อยินดีกุศล ว่ามีผลมากกว่า.
[726] พ. ดูก่อนมาณพ ท่านจะเข้าใจความข้อนั้นเป็นไฉน ในการ
บริจาคทานนี้ จะพึงมีมหายัญเกิดขึ้นเฉพาะแก่พราหมณ์คนหนึ่ง ครั้งนั้น
พราหมณ์สองคนพึงมาด้วยหวังว่า จักเสวยมหายัญของพราหมณ์ชื่อนี้ ใน
พราหมณ์สองคนนั้น คนหนึ่งมีความคิดเห็นอย่างนี้ว่า โอหนอ เราเท่านั้น
พึงได้อาสนะที่เลิศ น้ำที่เลิศ บิณฑะที่เลิศ ในโรงภัต พราหมณ์อื่นไม่พึงได้
อาสนะที่เลิศ น้ำที่เลิศ บิณฑะที่เลิศ ในโรงภัต แต่ข้อนี้เป็นฐานะที่จะมีได้
คือ พราหมณ์คนอื่นพึงได้อาสนะที่เลิศ น้ำที่เลิศ บิณฑะที่เลิศ ในโรงภัต
พราหมณ์ผู้นั้นไม่พึงได้อาสนะที่เลิศ น้ำที่เลิศ บิณฑะที่เลิศ ในโรงภัต
พราหมณ์นั้นโกรธน้อยใจว่า พราหมณ์เหล่าอื่นได้อาสนะที่เลิศ น้ำที่เลิศ บิณฑะ
ที่เลิศ ในโรงภัต เราไม่ได้อาสนะที่เลิศ น้ำที่เลิศ บิณฑะที่เลิศ ในโรงภัต
ดูก่อนมาณพ ก็พราหมณ์ทั้งหลายย่อมบัญญัติวิบากอะไรของกรรมนี้.
สุ. ท่านพระโคดม ในเรื่องนี้ พราหมณ์ทั้งหลายย่อมให้ทานด้วยคิด
อย่างนี้ว่า พราหมณ์นั้น อันพราหมณ์ผู้นี้แลทำให้โกรธให้น้อยใจดังนี้หามิได้
ในเรื่องนี้ พราหมณ์ทั้งหลายย่อมให้ทานอันเป็นการอนุเคราะห์เท่านั้นโดยแท้.

พ. ดูก่อนมาณพ เมื่อเป็นเช่นนี้ ข้อที่พราหมณ์ทั้งหลายให้ทานอัน
เป็นการอนุเคราะห์นี้ ก็เป็นบุญกิริยาวัตถุข้อที่ 6 ของพราหมณ์ทั้งหลายซิ.
สุ. ท่านพระโคดม เมื่อเป็นเช่นนี้ ข้อที่พราหมณ์ทั้งหลายให้ทาน
อันเป็นการอนุเคราะห์นี้ ก็เป็นบุญกิริยาวัตถุข้อที่ 6 ของพราหมณ์ทั้งหลาย.
[727] พ. ดูก่อนมาณพ ธรรม 5 ประการนี้ ที่พราหมณ์ทั้งหลาย
บัญญัติเพื่อทำบุญ เพื่อยินดีกุศล ท่านพิจารณาเห็นมีมากที่ไหน.
สุ. ท่านพระโคดม ธรรม 5 ประการนี้ ที่พราหมณ์ทั้งหลาย
บัญญัติเพื่อทำบุญ เพื่อยินดีกุศล ข้าพเจ้าพิจารณาเห็นมีมากในบรรพชิต
มีน้อยในคฤหัสถ์ เพราะคฤหัสถ์มีความต้องการมาก มีกิจมาก มีอธิกรณ์มาก
มีการเริ่มมาก จะเป็นผู้พูดจริงเสมอร่ำไปไม่ได้ ส่วนบรรพชิตมีความต้องการ
น้อย มีกิจน้อย มีอธิกรณ์น้อย มีการเริ่มน้อย จึงเป็นผู้พูดจริงเสมอร่ำไปได้
เพราะคฤหัสถ์มีความต้องการมาก มีกิจมาก มีอธิกรณ์มาก มีการเริ่มมาก
จะเป็นผู้มีความเพียร...ประพฤติพรหมจรรย์...มากด้วยการสาธยาย...มากด้วย
การบริจาคเสมอร่ำไปไม่ได้ ส่วนบรรพชิตมีความต้องการน้อย มีกิจน้อย
มีอธิกรณ์น้อย มีการเริ่มน้อย จึงเป็นผู้มีความเพียร...ประพฤติพรหมจรรย์...
มากด้วยการสาธยาย...มากด้วยการบริจาคเสมอร่ำไปได้ ท่านพระโคดม
ธรรม 5 ประการนี้ ที่พราหมณ์ทั้งหลายบัญญัติเพื่อทำบุญ เพื่อยินดีกุศล
ข้าพเจ้าพิจารณาเห็นมีมากในบรรพชิต มีน้อยในคฤหัสถ์.
[728] พ. ดูก่อนมาณพ ธรรม 5 ประการนี้ ที่พราหมณ์ทั้งหลาย
บัญญัติเพื่อทำบุญ เพื่อยินดีกุศล เรากล่าวว่าเป็นบริขารของจิต เพื่ออบรมจิต
ไม่ให้มีเวร ไม่ให้มีความเบียดเบียน ดูก่อนมาณพ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็น
ผู้พูดจริง เธอรู้สึกว่า เราเป็นผู้พูดจริง ย่อมได้ความรู้อรรถ ย่อมได้ความรู้
ธรรม ย่อมได้ความปราโมทย์ประกอบด้วยธรรม ความปราโมทย์อันประกอบ

ด้วยกุศลนี้ เรากล่าวว่าเป็นบริขารของจิต เพื่ออบรมจิตไม่ให้มีเวร ไม่ให้
มีความเบียดเบียน ดูก่อนมาณพ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้มีความเพียร...
ประพฤติพรหมจรรย์... มากด้วยการสาธยาย... มากด้วยการบริจาค เธอ
รู้สึกว่าเราเป็นผู้มากด้วยการบริจาค ย่อมได้ความรู้อรรถ ย่อมได้ความรู้ธรรม
ย่อมได้ความปราโมทย์อันประกอบด้วยธรรม ความปราโมทย์อันประกอบด้วย
กุศลนี้ เรากล่าวว่าเป็นบริขารของจิต เพื่ออบรมจิตไม่ให้มีเวร ไม่ให้มีความ
เบียดเบียน ธรรม 5 ประการนี้ ที่พราหมณ์ทั้งหลายบัญญัติเพื่อทำบุญ เพื่อ
ยินดีกุศลนี้ เรากล่าวว่าเป็นบริขารของจิตเพื่ออบรมจิตไม่ให้มีเวร ไม่ให้มี
ความเบียดเบียน เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอย่างนี้แล้ว สุภมาณพโตเทยยบุตร
ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ท่านพระโคดม ข้าพเจ้าได้สดับมาว่า
พระสมณโคดมทรงรู้จักหนทางเพื่อความเป็นสหายของพรหม.
[729] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนมาณพ ท่านจะเข้าใจความ
ข้อนั้นเป็นไฉน หมู่บ้านนฬการใกล้แต่ที่นี้ หมู่บ้านนฬการไม่ไกล ใกล้แต่ที่นี้
มิใช่หรือ.
สุภมาณพกราบทูลว่า อย่างนั้นท่านพระโคดม หมู่บ้านนฬการใกล้
แต่ที่นี้ หมู่บ้านนฬการไม่ไกลแต่ที่นี้.
พ. ดูก่อนมาณพ ท่านจะเข้าใจความข้อนั้นเป็นไฉน บุรุษผู้เกิดแล้ว
ทั้งเจริญแล้วในหมู่บ้านนฬการนี้แล เขาออกจากหมู่บ้านนฬการไปในขณะนั้น
พึงถูกถามถึงหนทางแห่งหมู่บ้านนฬการจะพึงชักช้าหรือตกประหม่าหรือหนอ.
สุ. ข้อนี้หามิได้ ท่านพระโคดม ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะบุรุษนั้น
ทั้งเกิดแล้วทั้งเจริญแล้วในหมู่บ้านนฬการ รู้จักทางของหมู่บ้านนฬการทุกแห่ง
ดีแล้ว .

พ. ดูก่อนมาณพ บุรุษผู้เกิดแล้วทั้งเจริญแล้วในหมู่บ้านนฬการนั้น
ถูกถามถึงทางของหมู่บ้านนฬการ ไม่พึงชักช้าหรือตกประหม่าแล ตถาคตถูก
ถามถึงพรหมโลก หรือปฏิปทาเครื่องให้ถึงพรหมโลก ก็ไม่ชักช้าหรือตก
ประหม่าเช่นเดียวกัน ดูก่อนมาณพ เราย่อมรู้จักทั้งพรหมโลกและปฏิปทาเครื่อง
ให้ถึงพรหมโลก อนึ่ง ผู้ปฏิบัติด้วยประการใดจึงเข้าถึงพรหมโลก เราย่อมรู้ชัด
ซึ่งประการนั้นด้วย.
สุ. ท่านพระโคดม ข้าพเจ้าได้สดับมาว่า พระสมณโคดมทรงแสดง
ทางเพื่อความเป็นสหายของพรหม ข้าพเจ้าขอโอกาส ขอท่านพระโคดมโปรด
ทรงแสดงทางเพื่อความเป็นสหายของพรหมแก่ข้าพเจ้าเถิด.
พ. ดูก่อนมาณพ ถ้าเช่นนั้นท่านจงฟัง จงใส่ใจให้ดี เราจักกล่าว
สุภมาณพโตเทยยบุตรทูลรับพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว.
[730] พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสว่า ดูก่อนมาณพ ก็ทางเพื่อความ
เป็นสหายของพรหมเป็นไฉน ดูก่อนมาณพ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ มีใจประกอบ
ด้วยเมตตา แผ่ไปตลอดทิศหนึ่งอยู่ ทิศที่ 2 ทิศที่ 3 ทิศที่ 4 ก็เหมือนกัน
ตามนัยนี้ ทั้งเบื้องบน เบื้องล่าง เบื้องขวาง แผ่ไปตลอดโลก ทั่วสัตว์ทุกเหล่า
เพื่อประโยชน์แก่สัตว์ทั่วหน้า ในที่ทุกสถาน ด้วยใจอันประกอบด้วยเมตตาอัน
ไพบูลย์ เป็นมหัคคตะ ไม่มีประมาณ ไม่มีเวร ไม่มีความเบียดเบียนอยู่ เมื่อ
เมตตาเจโตวิมุติอันภิกษุนั้นเจริญแล้วอย่างนี้ กรรมใดเป็นกามาพจรที่ภิกษุ
ทำแล้ว กรรมนั้นจักไม่เหลืออยู่ ไม่คงอยู่ในกรรมเป็นรูปาวจรนั้น ดูก่อนมาณพ
เปรียบเหมือนบุรุษเป่าสังข์ผู้มีกำลัง พึงให้คนรู้ได้ตลอดทิศทั้งสี่โดยไม่ยาก ฉันใด
เมื่อเมตตาเจโตวิมุติที่ภิกษุนั้นเจริญแล้วอย่างนี้ ก็ฉันนั้น กรรมใดเป็นกามาพจร
ที่ภิกษุทำแล้ว กรรมนั้นจักไม่เหลืออยู่ ไม่คงอยู่ในกรรมเป็นรูปาวจรนั้น แม้
ข้อนี้ก็เป็นทางเพื่อความเป็นสหายของพรหม ดูก่อนมาณพ อีกประการหนึ่ง

ภิกษุมีใจประกอบด้วยกรุณา... มีใจประกอบด้วยมุทิตา... มีใจประกอบด้วย
อุเบกขา แผ่ไปสู่ทิศหนึ่งอยู่ ทิศที่ 2 ทิศที่ 3 ทิศที่ 4 ก็เหมือนกัน ตามนัยนี้
ทั้งเบื้องบน เบื้องล่าง เบื้องขวาง แผ่ไปตลอดโลก ทั่วสัตว์ทุกเหล่า เพื่อ
ประโยชน์แก่สัตว์ทั่วหน้า ในที่ทุกสถาน ด้วยใจอันประกอบด้วยอุเบกขาอัน
ไพบูลย์ เป็นมหัคคตะ ไม่มีประมาณ ไม่มีเวร ไม่มีความเบียดเบียนอยู่ เมื่อ
อุเบกขาเจโตวิมุตติอันภิกษุนั้นเจริญแล้วอย่างนี้ กรรมใดเป็นกามาวจรที่ภิกษุ
ทำแล้ว กรรมนั้นจักไม่เหลืออยู่ ไม่คงอยู่ในกรรมเป็นรูปาวจรนั้น ดูก่อน
มาณพ เปรียบเหมือนบุรุษเป่าสังข์ผู้มีกำลัง พึงให้คนรู้ได้ตลอดทิศทั้งสี่โดยไม่ยาก
ฉันใด เมื่ออุเบกขาเจโตวิมุตติอันภิกษุเจริญแล้วอย่างนี้ ก็ฉันนั้น กรรมใดเป็น
กามาวจรที่ภิกษุทำแล้ว กรรมนั้นจักไม่เหลืออยู่ ไม่คงอยู่ในกรรมเป็นรูปาวจร
นั้น แม้ข้อนี้ก็เป็นทางเพื่อความเป็นสหายของพรหม.
[731] เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอย่างนี้แล้ว สุภมาณพโตเทยยบุตร
ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์
แจ่มแจ้งนัก ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก พระองค์
ทรงประกาศธรรมโดยอเนกปริยายเปรียบเหมือนหงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด
บอกทางแก่คนหลงทาง หรือตามประทีปไว้ในที่มืดด้วยหวังว่า ผู้มีจักษุจักเห็น
รูปได้ ฉะนั้น ข้าพระองค์นี้ขอถึงท่านพระโคดมกับทั้งพระธรรม และพระ-
ภิกษุสงฆ์ว่าเป็นสรณะ ขอท่านพระโคดมโปรดทรงจำข้าพระองค์ว่าเป็นอุบาสก
ผู้ถึงสรณะตลอดชีวิต ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ข้า
พระองค์ขอทูลลาไป ณ บัดนี้ ข้าพระองค์มีกิจมาก มีกรณียะมาก พระผู้มี
พระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนมาณพ ท่านจงสำคัญเวลาอันควร ณ บัดนี้เถิด
ครั้งนั้นแล สุภมาณพโตเทยยบุตรเพลิดเพลินพระภาษิตของพระผู้มีพระภาคเจ้า
แล้ว ลุกออกจากอาสนะถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้า ทำประทักษิณแล้ว
กลับไป.

[732] สมัยนั้น ชาณุโสณีพราหมณ์ออกจากพระนครสาวัตถี โดย
รถอันเทียมด้วยม้าขาวทั้งหมด แต่ยังวัน ได้เห็นสุภมาณพโตเทยยบุตรกำลังมา
แต่ไกล แล้วได้ถามสุภมาณพโตเทยยบุตรว่า ท่านภารทวาชะไปไหนมาแต่วัน
สุภมาณพโตเทยยบุตรตอบว่า ท่านผู้เจริญ ข้าพเจ้าจากสำนักพระสมณโคดม
มาที่นี่.
ชา. ท่านจะเข้าใจความข้อนั้นเป็นไฉน ท่านภารทวาชะเห็นจะเป็น
บัณฑิต รู้พระปัญญาอันเฉียบแหลมของพระสมณโคดม.
สุ. ท่านผู้เจริญ ข้าพเจ้าเป็นใครและเป็นอะไรเล่า จึงจักรู้เท่า
พระปัญญาอันเฉียบแหลมของพระสมณโคดม ผู้ใดพึงรู้เท่าพระปัญญาอัน
เฉียบแหลมของพระสมณโคดม แม้ผู้นั้นก็พึงเป็นเช่นพระสมณโคดมเป็นแน่.
ชา. เพิ่งได้ฟัง ท่านภารทวาชะสรรเสริญพระสมณโคดมด้วยการ
สรรเสริญอย่างยิ่ง.
สุ. ท่านผู้เจริญ ข้าพเจ้าเป็นใครเป็นอะไรเล่า จึงจักสรรเสริญพระ-
สมณโคดม ท่านพระโคดมอันเทวดาและมนุษย์สรรเสริญแล้ว ๆ ประเสริฐกว่า
เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย อนึ่ง ธรรม 5 ประการนี้ที่พราหมณ์ทั้งหลายบัญญัติ
เพื่อทำบุญ เพื่อยินดีกุศล พระสมณโคดมตรัสว่าเป็นบริขารแห่งจิต เพื่ออบรม
จิตไม่ให้มีเวร ไม่ให้มีความเบียดเบียน.
[733] เมื่อสุภมาณพโตเทยยบุตรกล่าวอย่างนี้แล้ว ขาณุโสณี
พราหมณ์ลงจากรถอันเทียมด้วยม้าขาวทั้งหมด แล้วห่มผ้าเฉวียงบ่าข้างหนึ่ง
น้อมอัญชลีไปทางที่พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับ แล้วเปล่งอุทานว่า เป็นลาภ
ของพระเจ้าปเสนทิโกศล พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงได้ดีแล้วหนอ ที่พระตถาคต
อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับในแว่นแคว้นของพระองค์ ฉะนี้แล.
จบสุภสูตรที่ 9

อรรถกถาสุภสูตร



สุภสูตรขึ้นต้นว่า ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ :-
ในสุภสูตรนั้น บุตรของโตเทยยพราหมณ์ผู้อยู่ในตุทิคาม ชื่อว่า
โตเทยยบุตร. คำว่า เป็นผู้ยินดี คือเป็นผู้พรั่งพร้อมบริบูรณ์. คำว่าญายธรรม
คือ ธรรมอัน เป็นเหตุ. บทว่า เป็นกุศล คือ ไม่มีโทษ. บทว่า การ
ปฏิบัติผิด
คือ ข้อปฏิบัติอันไม่เป็นกุศล ไม่เป็นเครื่องนำออกไปจากทุกข์.
บทว่า การปฏิบัติชอบ ได้แก่การปฏิบัติอัน เป็นกุศลอันเป็นเครื่องนำออกจาก
ทุกข์. ในบทว่า มีความต้องการมาก ดังนี้เป็นต้น มีวิเคราะห์ ดังต่อไปนี้
ชื่อว่า มีความต้องการมาก เพราะในฐานะนี้มีความต้องการด้วยการกระทำความ
ขวนขวาย หรือด้วยการช่วยเหลือมาก คือมากมาย. ชื่อว่า มีกิจมากเพราะ
ฐานะนี้มีกิจมากเช่นงานมงคลในการตั้งชื่อเป็นต้นมาก. ชื่อว่ามีเรื่องราวมาก
ที่จะต้องจัดการ มากเพราะในฐานะนี้มีเรื่องราว คือหน้าที่การงานมากอย่างนี้
คือ วันนี้ต้องทำสิ่งนี้ พรุ่งนี้ต้องทำสิ่งนี้. ชื่อว่า มีการลงมือทำมาก เพราะใน
ฐานะนี้มีการลงมือทำมาก คือ การบีบคั้นด้วยอำนาจการขวนขวายในการงาน
ของคนมาก. การงานของคนทางฝ่ายฆราวาส ชื่อว่า ฐานะการงานของฆราวาส.
พึงทราบเนื้อความในวาระทั้งปวงด้วยประการอย่างนี้. ก็ในบรรดาการทำนาและ
การค้าขายนี้ ในการทำนา พึงทราบความต้องการมาก ด้วยการแสวงหาเครื่อง
อุปกรณ์ เริ่มแต่หางไถเป็นต้น ในการค้าขาย พึงทราบความต้องการน้อยด้วยการ
ถือเอาสินค้าตามสภาพเดิมแล้วมา จำหน่าย. บทว่า วิบัติ ความว่า กสิกรรม
ย่อมมีผลน้อยบ้าง ถึงการขาดทุนบ้าง เพราะฝนไม่ตกและตกมากเกินไปเป็นต้น
และพณิชยกรรม มีผลน้อยบ้าง ถึงการขาดทุนบ้าง เพราะความไม่ฉลาดเป็นต้น